ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพโดยปราศจากเหตุผล
ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพโดยปราศจากเหตุผล
โองการอัลกุรอาน ที่กล่าวเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพ การพิสูจน์และการระวังบุคคลที่ปฏิเสธ สามารถแบ่งโองการออกเป็น 5 กลุ่มดังนี้ :
1.กลุ่มโองการที่กล่าวเน้นย้ำถึงประเด็นดังกล่าวว่า ไม่มีเหตุผลสำหรับการปฏิเสธเรื่อง มะอาด กลุ่มโองการเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นการปลดอาวุธของผู้ปฏิเสธมะอาดทั้งหลาย
2. กลุ่มโองการที่กล่าวถึงปรากฏการณ์ที่มีความคล้ายเหมือน กับเรื่องการฟื้นคืนชีพ เพื่อจะได้หยุดยั้งแนวคิดของผู้ที่ปฏิเสธมะอาด
3. กลุ่มโองการที่ปฏิเสธข้อสงสัยต่างๆ ของพวกปฏิเสธมะอาด และได้พิสูจน์ความเป็นไปได้ที่จะมะอาด
4. กลุ่มโองการที่กล่าวว่ามะอาดเป็นความจริงที่ถูกสัญญาไว้ ซึ่งการละเมิดสัญญาของพระเจ้าตามที่ทรงสัญญาไว้เป็นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ในความเป็นจริงการเกิดมะอาดโดยอาศัยการพิสูจน์จากรายงาน นักรายงาน ที่เชื่อได้ตรงไปตรงมา
5. กลุ่มโองการที่บ่งชี้ให้เห็นเหตุผลทางสติปัญญา ที่บ่งบอกถึงความจำเป็นของมะอาด
ในความเป็นจริงแล้วอัลกุรอาน 3 กลุ่มแรกนั้นกล่าวถึงความเป็นไปได้ของการเกิดมะอาด ส่วน 2 กลุ่มหลัง กล่าวถึงการเกิดและความจำเป็นของมะอาด
หนึ่งในแนวทางของการระแวดระไวของอัลกุรอาน กับพวกที่มีความเชื่อผิดๆ ซึ่งเรียกร้องเหตุผลจากอัลกุรอานเสมอนั้น ซึ่งอัลกุรอานเน้นย้ำเพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า หลักศรัทธาของพวกเขาไม่มีเหตุผล และไม่มีตรรกะที่เป็นวิทยปัญญาแต่อย่างใด ดังปรากฏในหลายโองการ เช่น โองการที่กล่าวว่า : จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงนำหลักฐานของพวกท่านมา ถ้าพวกท่านเป็นผู้พูดจริง”[1]
قُلْ هَاتُواْ بُرْهَانَكُمْ إِن كُنتُمْ صَادِقِينَ
เกี่ยวกับความคลางแคลงใจในเรื่องมะอาด อัลกุรอานได้กล่าวด้วยคำพูดที่รุนแรงว่า โอ้ ผู้เป็นเจ้าของความเชื่อผิดๆ ทั้งหลาย ความรู้และความเชื่อของพวกท่านในความเป็นจริงแล้วขัดแย้งกัน ไม่อาจนำมาเป็นเหตุผลใดๆ ได้ทั้งสิ้น ทว่าเป็นเพียงการคาดการและการคิดไปเองโดยปราศจากเหตุ และขัดแย้งกับความเป็นจริง อัลกุรอานกล่าวว่า : “และผู้ใดวิงวอนขอพระผู้อภิบาลอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮฺ โดยไม่มีหลักฐานพิสูจน์แก่เขาในการนี้ แท้จริง การคิดบัญชีของเขาอยู่ที่พระผู้อภิบาลของเขา แท้จริง บรรดาผู้ปฏิเสธจะไม่ประสบความสำเร็จ” (อัลกุรอานบทมุอ์มินูน โองการที่ 117)[2]
เกี่ยวกับผู้ปฏิเสธมะอาด อัลกุรอานกล่าวว่า :
وَ قالُوا ما هِيَ إِلاّ حَياتُنَا الدُّنْيا نَمُوتُ وَ نَحْيا وَ ما يُهْلِكُنا إِلاَّ الدَّهْرُ وَ ما لَهُمْ بِذلِكَ مِنْ عِلْم إِنْ هُمْ إِلاّ يَظُنُّونَ
“และพวกเขากล่าวว่า ไม่มีชีวิตอื่นใดดอกนอกจากการมีชีวิตของเราในโลกนี้ เราจะตายไปและเราจะมีชีวิตอยู่ และไม่มีสิ่งใดจะมาทำลายเราได้ (ให้เราตาย) นอกจากกาลเวลาเท่านั้น สำหรับพวกเขาไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นดอก นอกจากพวกเขาเดาเองเท่านั้น”[3]
เช่นเดียวกันอัลกุรอาน ในโองการอื่นได้ย้ำเน้นประเด็นดังกล่าวว่า บรรดาผู้ปฏิเสธมะอาดนั้น ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากการเดาเอาเอง อัลกุรอานกล่าวว่า : และเขา (ฟิรเอาน) และไพร่พลของเขาได้หยิ่งผยองในแผ่นดินโดยอธรรม พวกเขาคิดว่า แท้จริงพวกเขานั้นจะไม่ถูกนำกลับไปยังเรา
แน่นอน เป็นไปได้ว่าการคาดเดาอย่างไร้เหตุผล ถ้าหากเข้ากันได้กับความรู้สึกหรืออารมณ์ ก็จะเป็นที่ยอมรับสำหรับพวกที่บูชาอารมณ์เป็นพระเจ้า อัลกุรอานกล่าวว่า : “แต่ว่ามนุษย์นั้นประสงค์ที่จะทำความชั่วตลอดชีวิต”[4] งจะส่งผลออกทางความ ประพฤติที่เหมาะสม หรือไม่พวกเขาก็จะกระทำความผิดไปทีละน้อย และในที่สุดกลายเป็นความเชื่อทางศาสนา อัลกุรอานกล่าวว่า : “แล้วบั้นปลายของบรรดาผู้กระทำความชั่วก็คือ ความชั่ว โดยที่พวกเขาปฏิเสธต่อสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮฺ และพวกเขาเย้ยหยันมัน”[5] แม้กระทั่งว่ามีการบีบบังคับให้บุคคลอื่นมีความเชื่อเหมือนตน อัล กุรอานกล่าวว่า : “และพวกเขาได้สาบานต่ออัลลอฮฺ ด้วยการสาบานอย่างแข็งขันว่า อัลลอฮฺจะไม่ทรงให้ผู้ตายฟื้นขึ้นมาอีก มิใช่เช่นนั้น! สัญญานั้นย่อมเป็นจริงแก่พระองค์เสมอ แต่มนุษย์ส่วนมากไม่รู้”[6]
อัลกุรอาน กล่าวถึงคำพูดของบรรดาผู้ปฏิเสธมะอาดว่า จริงๆ แล้วพวกเขาไม่มีสิ่งใดเกินเลยไปจากการปฏิเสธ และยังได้ชี้ให้เห็นถึงความคลางแคลงสงสัยอันอ่อนแอของพวกเขา ซึ่งทั้งหมดเป็นแหล่งที่มาของการปฏิเสธความเป็นไปได้ในการเกิดมะอาด อัลกุรอานกล่าวว่า : และพระองค์คือผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินในระยะ 6 วัน และบัลลังก์ของพระองค์อยู่เหนือน้ำ เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบพวกท่านว่า ผู้ใดในหมู่พวกท่านมีการงานที่ดีเยี่ยม และหากเจ้า (มุฮัมมัด) กล่าวว่า “แท้จริงพวกท่านจะถูกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา หลังจากที่ได้ตายไปแล้ว” แน่นอนบรรดาผู้ปฏิเสธจะกล่าวว่า นี่มิใช่อื่นใดเลย นอกจากเล่ห์กลอย่างชัดแจ้ง”[7]
ดังนั้น ในแง่หนึ่งปรากฏการณ์ที่คล้ายกับการฟื้นคืนชีพนั้น เป็นการเตือนรู้เพื่อว่าจะได้ไม่ปฏิเสธเรื่องมะอาด[8] และอีกด้านหนึ่งอัลกุรอานได้ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับ มะอาด, เพื่อว่าจะได้ไม่มีข้อสงสัยอีกหลงเหลืออีกต่อไป และเรื่องปัญหามะอาดจะได้รับการพิสูจน์ให้เห็นถึงความสมบูรณ์เสถียร แต่เพียงเท่านี้ไม่อาจเพียงพอได้ นอกจากนี้แล้ว ความจำเป็นในการเกิดพันธสัญญาของพระเจ้า และความบริบูรณ์ในเหตุผลที่มีเหนือประชาชนโดยสื่อของวะฮฺยู (วิวรณ) นอกจากนั้นแล้ว เหตุผลทางสติปัญญายังได้บ่งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการฟื้นคืนชีพ ซึ่งจะกล่าวอธิบายโดยละเอียดในบทต่อไป
ปรากฏการณ์ที่คล้ายคลึงกันกับมะอาด
ก. การเจริญเติบโตของ : -- พืช
การฟื้นคืนชีพของมนุษย์หลังจากความตาย ด้านหนึ่งนั้นเหมือนชีวิตที่ตายไปแล้วประหนึ่งการงอกงามของพืชบนพื้นดิน หลังจากที่ได้แห้งเหี่ยวเฉาตายไป ด้วยเหตุนี้ การพิจารณาในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางทุกสายตาที่มองเห็น เพียงพอแล้วที่เขาจะคิดถึงเรื่องความเป็นไปได้ เกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย ในความเป็นจริงแล้วการมองเห็นปรากฏการที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา จึงได้ละเลยในความสำคัญ ประกอบกับประชาชนเคยชินกับการมองเห็นสิ่งเหล่านั้น มิฉะนั้นแล้ว การเกิดชีวิตใหม่ของพืชไม่ได้แตกต่างไปจากการพื้นคืนชีพของมนุษย์ หลังจากการตาย
อัลกุรอาน ต้องการฉีกม่านแห่งความเคยชิน, จึงได้เรียกร้องประชาชนบ่อยครั้งให้สนใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น และได้เปรียบเทียบการฟื้นคืนชีพของมนุษย์เหมือนกับ ปรากฏการณ์นั้น[9] เช่น โองการที่กล่าวว่า :
فَانْظُرْ إِلى آثارِ رَحْمَتِ اللّهِ كَيْفَ يُحْيِ الْأَرْضَ بَعْدَ مَوْتِها إِنَّ ذلِكَ لَمحْيِ الْمَوْتى وَ هُوَ عَلى كُلِّ شَيْء قَدِيرٌ
“ดังนั้น เจ้าจงพิจารณาดูร่องรอยแห่งความเมตตาของอัลลอฮฺว่า พระองค์ทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาหลังจากความแห้งแล้งได้อย่างไร แท้จริง ในการนั้น พระองค์ย่อมเป็นผู้ทรงให้มีชีวิตแก่คนที่ตายไปแล้ว และพระองค์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง”[10]
ข. การนอนหลับของสหายชาวถ้ำ
อัลกุรอาน กล่าวถึงเรื่องราวอันเป็นปาฏิหาริย์ของสหายชาวถ้ำ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่สอนบทเรียนและประเด็นสำคัญมากมาย อัลกุรอานกล่าวว่า :
وَ كَذلِكَ أَعْثَرْنا عَلَيْهِمْ لِيَعْلَمُوا أَنَّ وَعْدَ اللّهِ حَقٌّ وَ أَنَّ السّاعَةَ لا رَيْبَ فِيها
“และในทำนองนั้นเราได้เปิดเผยแก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้รู้ว่าสัญญาของ อัลลอฮฺเป็นจริง และแท้จริงวันสิ้นโลกนั้นมีจริงไม่ต้องสงสัยเลย”[11]
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการบอกข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์อันแปลกประหลาด ในระยะ เวลาไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมา (300 ปี ของปีสุริยคติ = 309 ปีจันทรคติ) ซึ่งพวกเขาได้นอนหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ย่อมเป็นลักษณะพิเศษที่โน้มนำมนุษย์ให้สนใจในความเป็นไปได้ของการฟื้นคืนชีพ และการขจัดความสงสัยเกี่ยวกับสิ่งนี้ เนื่องจากทุกการนอนหลับนั้นคล้ายกับความตาย (การนอนหลับคือพี่น้องของความตาย) ส่วนทุกการตื่นขึ้นมาก็เหมือนกับการฟื้นคืนชีพหลังจากการตาย เพียงแต่การนอนหลับนั้นเป็นเรื่องสามัญปกติทางชีวภาพ (ชีววิทยา) ร่างกายโดยปกติแล้วยังคงมีชีวิตอยู่ เมื่อดวงวิญญาณกลับมาเขาก็ตื่นขึ้นเหมือนปกติไม่มีความแปลกแต่อย่างใด แต่สิ่งที่หน้าประหลาดใจก็คือการนอนหลับของบางคนที่ยาวนาน 300 กว่าปี โดยไม่ได้รับประทาน อาหาร ซึ่งตามหลักชีววิทยาร่างการต้องตายและเน่าเปื่อยสลายกลายเป็นดินหมดโอกาสที่ดวงวิญญาณจะกลับคืนสู่ร่างอีกครั้ง ดังนั้น เหตุการณ์ที่มหัศจรรย์เช่นนี้สามารถดึงดูดความสนใจของมนุษย์ ไปสู่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ตามระบบธรรมชาติ เพื่อจะได้เข้าใจว่าการกลับคืนสู่ร่างกายของดวงวิญญาณ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาวะ หรือสาเหตุ หรือเงื่อนไขและธรรมชาติเท่านั้น ฉะนั้น ชีวิตใหม่ของมนุษย์แม้ว่าจะขัดแย้งกับระบบความตาย และการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ก็ตาม แต่สิ่งนั้นก็หาได้เป็นอุปสรรคไม่ ตามพันธสัญญาของพระเจ้าการฟื้นคืนชีพต้องเกิดขึ้นแน่นอน
ค. การฟื้นคืนชีพของสรรพสัตว์
อัลกุรอาน กล่าวถึงการฟื้นคืนชีพของสรรพสัตว์บางชนิดที่ผิดปกติทางธรรมชาติ เช่น การฟื้นคืนชีพของนก 4 ตัว ซึ่งถูกสังหารโดยศาสดาอิบรอฮีม (อ.) ตามบัญชาของพระเจ้า อัลกุรอานกล่าวว่า : “และจงรำลึกถึง ขณะที่ที่อิบรอฮีมกล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ โปรดให้ ข้าฯ เห็นด้วยเถิดว่า พระองค์ให้บรรดาผู้ที่ตายมีชีวิตขึ้นอย่างไร พระองค์ตรัสว่า เจ้ามิได้เชื่อดอกหรือ อิบรอฮีมกล่าวว่า หามิได้ แต่ทว่าเพื่อหัวใจของข้าฯ จะได้สงบ พระองค์ตรัสว่า เจ้าจงเลือกนกมาสี่ตัว หลังจากเจ้าเชือดมันแล้วเจ้าจงสับมันเป็นชิ้นๆ (ผสมเข้าด้วยกัน) หลังจากนั้นเจ้าจงนำไปวางไว้บนภูเขาแต่ละส่วน แล้วจงเรียกมันๆ จะบินมาหายังเจ้าโดยรีบเร่ง และพึงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺ เป็นผู้ทรงเดชานุภาพผู้ทรงปรีชาญาณยิ่ง”[12] หรือการฟื้นคืนชีพของสัตว์พาหนะของศาสดาท่านหนึ่ง ซึ่งจะกล่าวถึงเรื่องราวของทานในบทต่อไป ดังนั้น เมื่อสัตว์สามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ การฟื้นคืนชีพของมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้แต่อย่างใด
ง. การฟื้นคืนชีพของมนุษย์บางคน
การฟื้นคืนชีพของมนุษย์บางคนบนในโลกนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง อัลกุรอานกล่าวถึงบางคนเพื่อเป็นตัวอย่าง เช่น เรื่องราวของศาสดาบางท่านจากบนีอิสรออีล ขณะเดินทางเผอิญเห็นกำแพงพังทับคนตาย ทันใดนั้นเขาเกิดความคิดขึ้นในใจว่า จำทำอย่างไรเพื่อให้คนเหล่านี้มีชีวิตฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนั้นพระเจ้าผู้ทรงอำนาจได้คร่าชีวิตของเขา และหลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 100 ปี พระองค์ให้เขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง อัลกุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า : หรือเช่นผู้ที่ได้ผ่านเมืองหนึ่ง (พังพินาศแล้ว) โดยที่กำแพงได้พังทับลงบนหลังคาของ เขาได้กล่าวว่า อัลลอฮฺจะทรงให้คนพวกนี้มีชีวิตขึ้นได้อย่างไร (ในเวลานั้น) อัลลอฮฺ ทรงให้เขาตายเป็นเวลา 100 ปี หลังจากนั้นพระองค์ทรงให้เขาฟื้นคืนชีพ พระองค์ตรัสกับเขาว่า เจ้าพักอยู่นานเท่าใด เขากล่าวว่า ข้าพระองค์พักอยู่วันหนึ่งหรือน้อยกว่านั้น พระองค์ตรัสว่า หามิได้ เจ้าพักอยู่นานถึง 100 ปี เจ้าจงมองดูอาหารและเครื่องดื่มของเจ้าซิ มันยังไม่บูดเน่าเสียเลย และจงมองดูลาของเจ้าซิ (มันเน่าเปื่อยไปอย่างไร) และเพื่อเราจะให้เจ้าเป็นสัญญาณหนึ่งสำหรับมนุษย์ (ในเรื่องมะอาด) บัดนี้เจ้าจงมองดูกระดูกเหล่านั้น ดูว่าเรากำลังยกมันไว้ ณ ที่ของมัน และประกอบมันขึ้น แล้วให้มีเนื้อหุ้มห่อมันไว้อย่างไร ครั้นเมื่อสิ่งเหล่านั้นได้ประจักษ์แก่เขา เขาก็กล่าวว่า “ข้าพระองค์รู้ว่า แท้จริงอัลลอฮฺ ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง”[13]
อีกเรื่องราวหนึ่ง เป็นเรื่องราวของชาวบนีอิสรออีลกลุ่มหนึ่งที่ได้กล่าวกับศาสดา มูซา (อ.) ว่า หากพวกเราไม่เห็นพระเจ้า พวกเราจะไม่เคารพสักการเด็ดขาด แล้วพวกเราก็จะไม่ศรัทธาด้วย และแล้วอัลลอฮฺทรงทำให้พวกเขาพบกับความพินาศ และทรงให้พวกเขาฟื้นคืนชีพอีกครั้งตามคำอ้อนวอนของศาสดามูซา (อ.) อัลกุรอานกล่าวว่า : “และจงรำลึกถึง ขณะที่พวกเจ้ากล่าวว่า โอ้ มูซาเอ๋ย เราจะไม่ศรัทธาต่อท่านเป็นอันขาด จนกว่าเราจะได้เห็นอัลลอฮฺโดยเปิดเผย แล้วสายฟ้าฝ่าก็ได้คร่าชีวิตพวกเขา ขณะที่พวกเขามองดูกันอยู่ หลังจากนั้นเราได้ให้พวกเจ้าคืนชีพ หลังจากที่พวกเจ้าได้ตายไปแล้ว เพื่อว่าพวกเจ้าจักได้ขอบคุณ”[14]
เช่นเดียวกันการฟื้นคืนชีพของชาวบนีอิสรออีลคนหนึ่ง ในสมัยของศาสดามูซา (อ.) เนื่องจาก เขาได้ถูกสังหาร เพราะไปทำร้ายวัวที่ถูกเชือดแล้ว ซึ่งเรื่องราวของเขากล่าวอยู่ในอัลกุรอานบทอัลบะเกาะเราะฮฺ ซึ่งอัลกุรอานบทนี้ก็ได้ตั้งชื่อตามเหตุการณ์ ดังกล่าว อัลกุรอาน กล่าวว่า :
“และจงรำลึกถึงขณะที่มูซาได้กล่าวแก่กลุ่มชนของเขาว่า แท้จริง อัลลอฮฺทรงบัญชาแก่พวกท่านให้เชือดวัวตัวเมียตัวหนึ่ง พวกเขากล่าวว่า ท่านจะถือเอาพวกเราเป็นที่ล้อเล่นกระนั้นหรือ มูซากล่าวว่า ฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากการที่ฉันจะเป็นพวกโง่เขลาเบาปัญญา และพวกเขากล่าวว่า โปรดวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของท่านให้แก่พวกเราด้วยเถิด พระองค์ก็จะทรงแจ้งแก่พวกเราว่า วัวนั้นเป็นอย่างไร มูซากล่าวว่า แท้จริง พระองค์ตรัสว่ามันเป็นวัวตัวเมียที่ไม่แก่และไม่สาว แต่มีอายุกึ่งกลางระหว่างนั้น พวกท่านจงปฏิบัติตามสิ่งที่พวกท่านถูกใช้เถิด พวกเขากล่าวว่า โปรดวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของท่านให้แก่พวกเราเถิด พระองค์ก็จะทรงแจ้งแก่พวกเราว่า วัวนั้นสีอะไร มูซากล่าวว่า แท้จริง พระองค์ตรัสว่า มันเป็นวัวสีเหลือง สีของมันเข้มทำให้เกิดความปิติยินดีแก่บรรดาผู้ที่มองดู พวกเขากล่าวว่า โปรดวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของท่านให้แก่เราเถิด พระองค์ก็จะทรงแจ้งแก่พวกเราว่า วัวนั้นเป็นอย่างไร แท้จริงวัวนั้นมันคล้ายๆ กันแก่พวกเรา และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์ แน่นอน พวกเราก็เป็นผู้ที่ได้รับคำแนะนำ มูซากล่าวว่า แท้จริงพระองค์ ตรัสว่า มันเป็นวัวที่ไม่สยบง่ายๆ ที่จะไถดินและที่จะทดน้ำเข้านา เป็นวัวบริสุทธิ์ปราศจากสีอื่นใดแซมในตัวมัน พวกเขากล่าวว่า บัดนี้ ท่านได้นำความจริงมาให้แล้ว แล้วพวกเขาก็เชือดมัน และพวกเขาเกือบจะไม่ทำมันอยู่แล้ว และจงรำลึกถึงขณะที่พวกเจ้าฆ่าคนคนหนึ่ง แล้วพวกเจ้าได้ปกป้องตัวเองในเรื่องนั้น และอัลลอฮฺ เป็นผู้ทรงเปิดเผยสิ่งที่พวกเจ้าปกปิดไว้ แล้วเราได้กล่าวว่า พวกเจ้าจงตีเขาด้วยบางส่วนของวัวนั้น ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮฺจะทรงให้ผู้ตายมีชีวิตขึ้นมา และจะทรงให้พวกเจ้าเห็นสัญญาณต่าง ๆ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้เข้าใจ[15]
ด้วยเหตุนี้เอง จะเห็นว่าพระเจ้าทรงทำให้คนตายฟื้นคืนชีพ และทรงแสดงสัญญาณของพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกสายตา หรือแม้แต่การทำให้คนตายฟื้นคืนชีพด้วยปาฏิหาริย์ของศาสดาอีซา (อ.) ตามการอนุญาตของพระเจ้า อัลกุรอานกล่าวว่า : “และเป็นฑูต (นะบีอีซา) ไปยังวงศ์วานอิสรออีล (โดยที่เขาจะกล่าวว่า) แท้จริงนั้นได้นำสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของพวกท่านมายังพวกท่านแล้ว โดยที่ฉันจะจำลองขึ้นจากดินให้แก่พวกท่าน ดั่งรูปนก แล้วฉันจะเป่าเข้าไปในมัน แล้วมันก็จะกลายเป็นนก ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ และฉันจะรักษาคนตาบอดแต่กำเนิด และคนเป็นโรคเรื้อน และฉันจะให้ผู้ที่ตายแล้วมีชีวิตขึ้นด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ และฉันจะบอกพวกท่านถึงสิ่งที่พวกท่านจะบริโภคกันและสิ่งที่พวกท่านสะสมไว้ใน บ้านของพวกท่าน แท้จริงในนั้น มีสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกท่าน หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา”[16] ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นว่าการฟื้นคืนหรือมะอาด นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เสมอ
[1] อัล-กุรอานบท อัลบะเกาะเราะฮฺ 111,บทอันบิยาอฺ โองการ 24, บทอันนะฮฺลิ โองการที่ 64
[2] อัล-กุรอาน บทนิซาอ์ โองการ 157, บทอัลอันอาม โองการที่ 100, 119, 148, บทอัลกะฮฺฟิ โองการ 5, บทฮัจญ์ โองการ 3,8, 71, บทอังกะบูต โองการ 8, บทโรม โองการ 29, บทลุกมาน โองการที่ 20, บทฆอฟิร โองการที่ 42, บทซุครุฟ โองการที่ 20, บทอันนัจญฺมุ โองการที่ 28
[3] อัล-กุรอาน บทอัลญาซียะฮฺ 24
[4] อัล-กุรอาน บทกิยามะฮฺ โองการ 5
[5] อัล-กุรอาน บทโรม โองการ 10-14
[6] อัล-กุรอาน บทอันนะฮฺลิ โองการที่ 38
[7] อัล-กุรอาน บทฮูด โองการ 7, บทอิสรอ โองการที่ 51, บทอัซซอฟาต โองการที่ 16-53, บทอัดดุคอน โองการ 34, 36, บทอะฮฺกอก โองการ 18, บทวากิอะฮฺ โองการ 47-48, บทมุฏ็อฟฟิฟีน โองการ 12-13, บทนาซิอาต โองการ 10-11
[8] ภารกิจที่มีความคล้ายเหมือนกัน ในโลกของความเหมือนจะอยู่ในกฎเกณฑ์เดียวกัน ซึ่งบางครั้งกฎอาจจะมีความเป็นไปได้ และอาจเป็นไปไม่ได้
[9] อัล-กุรอาน บทอะอ์รอฟ โองการ 57, บทฮัจญ์ โองการ 5, 6, บทฟาฏิร โองการ 9, บทโรม โองการ 19, บทฟุซซิลัต โองการ 19, บทซุครุฟ โองการ 11, บท ก๊อฟ โองการ 11
[10] อัล-กุรอาน บทโรม โองการที่ 50
[11] อัล-กุรอาน บทอัลกะฮฺฟฺ 21
[12] อัล-กุรอาน บทอัลบะเกาะเราะฮฺ 260
[13] อัล-กุรอาน บทอัลบะเกาะเราะฮฺ โองการ 259
[14] อัล-กุรอาน บทอัลบะเกาะเราะฮฺ โองการ 55-56
[15] อัล-กุรอาน บทอัลบะเกาะเราะฮฺ โองการ 67-73
[16] อัล-กุรอาน บทอาลิอิมรอน โองการ 49, บทมาอิดะฮฺ โองการ 110